เที่ยวตามรอยอดีตกับ 8 โศกนาฏกรรมในเมืองไทย
เรื่องจริงที่ยิ่งกว่าละคร สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ปะปนกันไป ก่อเกิดโศกนาฏกรรมในวันวาน มาวันนี้หลายที่เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติอันยาวนานให้จดจำ PaiNaiDii ขอพาคุณไปเที่ยวสถานที่แห่งวันวานที่มีที่มาจากอดีตอันปวดร้าว เหตุผลอะไรที่สถานที่ต่างๆ เหล่านี้เป็นจุดจบของเรื่องราว หรือ จุดเกิดเหตุที่คร่าชีวิต มาร่วมกันตามหาร่องรอยอดีตกับสถานที่ประวัติศาสตร์ที่จารึกความทรงจำอันแสนโหดร้ายด้วยกัน
01
เส้นทางรถไฟสายมรณะ
อนุสรณ์สถานที่แลกมาจากการ "ทารุณกรรม"
“เส้นทางรถไฟสายมรณะ” จุดกำเนิดของเรื่องราว เริ่มต้นเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2กองทัพญี่ปุ่นในยุคนั้น ถือเป็นมหาอำนาจในโลกเลยก็ว่าได้ ได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์จากประเทศไทยมุ่งเข้าสู่พม่า ความโหดร้ายได้ก่อตัวขึ้นเมื่อมีการเกณฑ์เชลยศึกมากมายจากหลายชนชาติด้วยกันได้แก่ ทหารอังกฤษ ทหารอเมริกา ทหารออสเตรีย ทหารฮอลแลนด์ ทหารนิวซีแลนด์ ประมาณ 61,700 คน พร้อมกันนี้ยังมีการเกณฑ์ไพร่พลกรรมกรชาวจีน ญวน มลายู ไทย พม่า อินเดีย อีกเป็นจำนวนมาก ในระหว่างการก่อสร้าง ทั้งเชลยศึกและกรรมกร ต้องเผชิญกับความยากลำบากต่างๆ นานา การถูกทารุณกรรม โรคระบาด อาหารที่ขาดแคลน การทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรอีกนับร้อยลูก ทำให้เหล่าเชลยศึกและคนงานทั้งหลายพากันมาจบชีวิตลง ณ สถานที่แห่งนี้
การก่อสร้างนี้กองทัพญี่ปุ่น ได้ยืมเงินจากรัฐบาลไทย จำนวน 4 ล้านบาท ใช้เวลาสร้างเพียง 1 ปีเท่านั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2485ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 และเปิดใช้ทันทีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2486 ตั้งแต่นั้นมา เส้นทางรถไฟแห่งนี้ก็ได้เป็นอนุสรณ์สถานจากร่องรอยประวัติศาสตร์ ความทรงจำหวนให้นึกถึงความร้ายกาจในยุคสงคราม เส้นทางรถไฟมรณะที่แลกมาจากเลือดเนื้อจากคนเกือบแสน
พิกัดเกิดเหตุ
ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัด
กาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแควไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงสถานีปลายทางที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า มีความยาวรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 37 สถานี
เที่ยวตามรอยอดีต
เส้นทางรถไฟสายนี้ให้บริการเดินรถทุกวันและจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ - น้ำตก ในวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเก็บภาพบรรยากาศแห่งความงาม พร้อมซึบซับความทรงจำจากอดีต โดยจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงโค้งมรณะหรือถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นสะพานโค้งเลียบแม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ 400 เมตร
02
อุโมงค์เขาน้ำค้าง
ซ่อนกองกำลังกว่า 4,000 ชีวิตได้อย่างมิดชิดกับความแร้นแค้น
อุโมงค์ดินเหนียวแห่งนี้เป็นอุโมงค์ที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ใครกันที่สร้างอุโมงค์แห่งนี้ขึ้นมา เพื่ออะไร ในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาน้ำค้างแห่งนี้เสมือนเขตหวงห้ามเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี ด้วยพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน โจรจีนคอมมิวนิสต์(จ.ค.ม.) จึงได้เลือกที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่น เป็นแหล่งสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหารที่สำคัญ ด้านในมีถึง 3 ชั้น มีทางเข้าออก 16 ช่องทาง ความยาวคดเคี้ยวขึ้นลงในภายในอุโมงค์ประมาณ 1,000 เมตร ภายในอุโมงค์แบ่งเป็นห้องๆ เช่น ห้องประชุม ห้องพยาบาล ห้องวิทยุ ห้องครัว สนามซ้อมยิงปืน โดยอุโมงค์ขุดด้วยกำลังคน 200 คนต่อวัน ใช้เพียงมือเท่านั้นในการขุด ทุกคนต้องช่วยกันถึงแม้ไม่อยากทำก็เลี่ยงไม่ได้ ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ไม่ง่ายเลยกว่าได้มา เขาน้ำค้าง เหมาะกับการหลบซ่อน แต่ไม่เหมาะการอยู่อาศัย ด้วยพื้นที่เป็นถิ่นธุรกันดาร อาหารการกินที่หาได้ยากในแถบนี้ กองกำลังโจรจีนคอมมิวนิสต์ต้องซ่อนตัวภายในอุโมงค์อย่างเงียบเชียบ อดมื้อกินมื้อกับเสบียงที่จำกัดจำเขี่ย แม้แต่อากาศที่ไม่ต้องขวนขวาย แต่ที่นี่ก็ไม่มีให้ เมื่อป่วยก็ต้องรักษากันเอง ล้มหายตายจากศพก็ยังไม่สามารถนำออกมาประกอบพิธีได้
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2523 กองกำลังโจรจีนคอมมิวนิสต์สลายตัวไปในที่สุด ด้วยปฏิบัติการตามแผนยุทธการใต้ร่มเย็น สามารถเข้ายึดค่ายปฏิบัติการของโจรจีนคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ จากนำนโยบายการเมืองนำการทหารกองทัพภาคที่ 4 และหน่วยทหารผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่ 43 (พตท.43)
พิกัดเกิดเหตุ
อุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอนาทวี และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีสภาพป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 132,500 ไร่ หรือ 212 ตารางกิโลเมตร
เที่ยวตามรอยอดีต
ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้างเปิดให้เข้าเยี่ยมชม โดยภายในอุโมงค์จะมีนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมา ข้อมูลและภาพถ่ายในสมัยก่อน ภายในอุโมงค์ยังคงสภาพเหมือนในอดีต มีห้องต่างๆให้ได้เยี่ยมชมพร้อมป้ายบอก เช่น ห้องประชุม ห้องพยาบาล ห้องวิทยุ ห้องครัว สนามซ้อมยิงปืน เป็นต้น และยังมียาสมุนไพรจำหน่าย คิดค่าเข้าชมคนละ 20 บาท
03
สะพานนนทบุรี
คดีอาชญากรรมในวงการแพทย์อันโด่งดัง “เหตุปมรักนวลฉวี”
กว่า 50 ปีที่ “สะพานนนทบุรี” สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแบบเปิดได้ที่สร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสะพานแรกๆ ของประเทศไทย ได้รับการกล่าวขานในชื่อใหม่ว่า “สะพานนวลฉวี” สาเหตุที่เรียกชื่อนี้ มีอยู่ว่า เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น. นายจำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านที่คล้องอ้อมไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบกับ ศพ! ในแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตนนทบุรี ศพหญิงสาวผู้น่าสงสารสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่งกระโปรงสีดำ สืบความในเวลาต่อมาทราบว่า เธอคือ นวลฉวี เพชรรุ่ง
ผลจากการชันสูตรศพ สาเหตุการตายเนื่องจากถูกแทงจนเลือดตกในมาก และสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ จากหลักฐานที่พบ มีนาฬิกาข้อมือและแหวนทองลงยา จารึกนามสกุล "รามเดชะ" (สกุลเดิมของหมออธิปสามีของนวลฉวี) ด้วยหลักฐานชิ้นนี้นี่เองที่บ่งชี้ว่าเธอผู้นี้เป็น ใคร จากการสืบสวนของตำรวจจึงสืบทราบไปถึงตัว หมออธิป สุญาณเศรษฐกร สามีของผู้ตาย และสุดท้ายหมออธิปสารภาพว่าตนเองเป็นคนวางแผนฆ่านวลฉวี โดยจ้างวานให้คนอื่นจัดการฆ่าแล้วเอาศพไปถ่วงน้ำ ต่อมา ตำรวจตามจับคนรับจ้างฆ่าและเค้นหนักจนในที่สุดก็สารภาพสิ้น หมออธิปก็สิ้นอิสรภาพในที่สุด
พิกัดเกิดเหตุ
สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เข้ากับตำบลบางขะแยง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
เที่ยวตามรอยอดีต
สามารถชมวิวสวยได้กว้าง 360 องศา จากร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา และร้านบริเวณเชิงสะพานนวลฉวี
04
คุกขี้ไก่
กักขังนักโทษที่คิดต่อต้าน แต่ต้องทุกข์ทรมานจาก “ขี้ไก่"
คุกขี้ไก่ กักขังนักโทษที่คิดต่อต้าน แต่ต้องทุกข์ทรมานจาก “ขี้ไก่”ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครองเมืองจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2436 เดิมแรกเริ่มสร้างมาเพื่อเป็นป้อมปืน ตรวจการบริเวณปากน้ำแหลมสิงห์ หรือในสมัยนั้นที่ชาวบ้านเรียกอีกชื่อว่า “ป้อมฝรั่งเศส” ลักษณะป้อมสร้างด้วยอิฐมีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง 4 เมตร สูง 10 เมตร มีช่องสังเกตุการอยู่ 2 แถว หลังคามุงกระเบื้องทรงพีระมิด
ต่อมาป้อมแห่งนี้ต่อมาได้นำมากักขัง นักโทษผู้ที่คิดต่อต้านกับชาวฝรั่งเศสที่อาศัยในไทย ทั้งทหารญวน จีน รวมทั้งคนไทย ชั้นบนเป็นที่เลี้ยงไก่เพื่อถ่ายมูลใส่นักโทษข้างล่างจึงเรียกคุกแห่งนี้ว่า “คุกขี้ไก่” เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมากที่สุด นักโทษต้องทนทุกข์ทรมานกับขี้ไก่ แต่ก็ต้องกินขี้ไก่เพื่อประทังความหิว ทั้งๆ ที่เหม็น สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรค นักโทษบางคนติดเชื้อถึงกับบาดเจ็บล้มตาย คุกแห่งนี้ยกเลิกใช้คุมขังหลังจากทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออก เมื่อพ.ศ. 2447
พิกัดเกิดเหตุ
ที่ตั้งของคุกขี้ไก่อยู่หมู่ที่ 1 ตำบลปากแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (จันทบุรี-ตราด) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ
เที่ยวตามรอยอดีต
คุกขี้ไก่ได้รับการยกย่องให้เป็นโบราณสถาน เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการกดขี่ข่มเหงในยุคสมัยการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมร่องรอยอดีตในยุคประวัติศาตร์ กับการเอาชีวิตเข้าแลกของบรรพบุรุษไทยเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้
05
เกาะตะรุเตา เกาะกลางทะเลสถานกักกันนักโทษ
โดยมีผู้คุมเป็น ฉลาม จระเข้ และคลื่นลม
“ตะรุเตา” เป็นคำที่เพี้ยนมาจากภาษามลายูคำว่า “ตะโละเตรา” แปลว่า มีอ่าวมาก ตะรุเตาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสตูล แหล่งธรรมชาติที่สวยงาม จนเป็นที่กล่าวขวัญ ถึงแม้จะสวยงามแค่ไหน แต่ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็น "ทัณฑสถานเกาะตะรุเตา" ที่คุมขังนักโทษที่ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ เพราะขนาบข้างด้วยท้องทะเลอันกว้างใหญ่
ปี พ.ศ.2479 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงสี่ปี พระยาพหลพลหยุหเสนาซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกาศให้เกาะตะรุเตา เป็นสถานที่ฝึกอาชีพพร้อมทั้งกักกันนักโทษคดีอุกฉกรรจ์และนักโทษการเมือง ด้วยภูมิประเทศที่ยากกับการหลบหนี เพราะเป็นเกาะใหญ่อยู่กลางทะเลลึก รอบเกาะเต็มไปด้วยฉลาม แถมในคลองก็มีจระเข้ชุกชุม คลื่นลมมรสุมก็รุนแรง ไม่มีเรือผ่านไปมา มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการหลบหนี กรมราชทัณฑ์ในสมัยนั้นซึ่งได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ทำการสำรวจ จึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งนิคมฝึกอาชีพสำหรับนักโทษขึ้น ณ สถานที่นี้
พิกัดเกิดเหตุ
เกาะตะรุเตา เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติที่อยู่ในทะเลอันดามัน ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล บริเวณช่องแคบมะละกา มหาสมุทรอินเดีย ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ด้านใต้ของเขตอุทยานแห่งชาติ ห่างจากชายแดนไทย-มาเลเซีย เพียง 4.8 กิโลเมตร แหล่งธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร
เที่ยวตามรอยอดีต
อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่รักและหลงไหลในโลกใต้น้ำ เป็นจุดรวมของความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ทั้งบนเกาะและในน้ำ มีป่าที่อุดมสมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ในน้ำก็งดงามด้วยกลุ่มปะการังหลากสีสวยสด จนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วโลก
06
สะพานสารสิน สักขีพยานของความรัก
อันเป็นนิรันดร์ที่แลกมาจาก “การสูญเสีย”
ตำนานความรักที่อยู่คู่กับสะพานสารสินมาเนิ่นนาน จนบางครั้งเรายังเผลอเรียกสะพานแห่งนี้ว่า “สะพานรักสารสิน” เรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ความรักของเขาก็ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่คนทั้งคู่เลือกจะจบชีวิตลงที่นี่ โกดำ แซ่ตัน หนุ่มขับรถสองแถว กับ กิ๋ว กาญจนา แซ่หงอ หญิงสาวนักศึกษาวิทยาลัยครู ผู้ที่มีหน้าตาทางสังคม ด้วยฐานะของโกดำเป็นเพียงคนหาเช้ากินค่ำ ภาวะทางสังคมที่ต่างกันทำให้ความรักที่เบ่งบานในใจถูกขัดขวาง โดยครอบครัวของฝ่ายหญิง กีดกันสารพัดทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้ ผ่านไปหลายปีความรักที่มีต่อกันก็ไม่มีจืดจาง แต่มันก็ไม่สามารถทำลายกำแพงในใจของครอบครัวฝ่ายหญิงได้ ความรักที่ไม่มีวันสมหวัง หมดสิ้นหนทาง ทำให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดขึ้น เมื่อ เขาและเธอนัดลักลอบพบกันอีกครั้งในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 ทั้งสองเลือกที่จะจบชีวิตไปพร้อมกัน โดยนำผ้าขาวม้าผูกร่างทั้งสองติดกัน แล้วโดดลงจากสะพานไปพร้อมกัน เรื่องราวความรักของคนทั้งคู่ผูกติดไว้ที่นี่ “สะพานสารสิน”
พิกัดเกิดเหตุ
สะพานสารสินเป็นสะพานที่อยู่ระหว่างจังหวัดพังงาและภูเก็ต เป็นสะพานแรกที่มีการสร้างเพื่อข้ามจากจังหวัดพังงาไปภูเก็ต เชื่อมต่อระหว่างบ้านท่าฉัตรไชยและบ้านท่านุ่นของจังหวัดพังงา โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 402มีความยาวทั้งหมด 660 เมตร
เที่ยวตามรอยอดีต
ปัจจุบันสะพานสารสิน ไม่ได้ให้รถข้ามแล้วแต่กลายเป็นจุดชมวิวแทน ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นสะพานคนเดินและมีการปรับปรุงสร้างเป็นหอชมวิวทิวทัศน์ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต
(Photo : https://www.facebook.com/salasin.phuket)
07
ศาลพระนางเรือล่ม
อนุสรณ์สถานแห่งความระลึกถึงพระนางอันเป็นที่รักยิ่ง ขององค์รัชกาลที่ 5
เรื่องราวของสถานที่ที่เกิดโศกนาฏกรรมอันนำมาซึ่งความเศร้าสลดของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อเราได้สูญเสีย “พระอัครมเหสี” แห่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ไปอย่างไม่มีวันกลับท่ามกลางสายน้ำไหลของจังหวัด นนทบุรี อันเป็นที่มาของสมัญญานามว่า “พระนางเรือล่ม”
สมเด็จ พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4ลำดับที่ 50ในจำนวนทั้งหมด82พระองค์ มีพระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) พระองค์เจ้าสุนันทาฯ ทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5เมื่อเจริญพระชนมายุได้17พรรษาหลวง และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี” พระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
สมเด็จ พระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19พรรษา ต่อมาเมื่อ วันที่ 31พฤษภาคม พ.ศ. 2423ขณะกำลังทรงพระครรภ์ได้ 5เดือน ได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานมายังพระราชวังบางปะอิน โดยการเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เสด็จประทับบนเรือพระที่นั่งกับพระราชธิดา มีพระพี่เลี้ยงตามเสด็จ เมื่อเรือที่ประทับแล่นตามแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ถูกเรือพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (พระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี) แล่นแซง อีกทั้งนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ บังคับเรือไม่อยู่ จึงทำให้เรือล่มลง แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเหลือสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เนื่องจากเกรงกลัวกฎมณเฑียรบาลที่ว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร ทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปตามกัน
พิกัดเกิดเหตุ
แม่น้ำเจ้าพระยา วัดกู้ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในอดีตสถานที่นี้คือ จุดเกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ยุคแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5
เที่ยวตามรอยอดีต
เพราะเหตุที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงสิ้นพระชนม์จากเรือพระที่นั่งล่มที่หน้าวัดกู้ กลางลำน้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจตั้งศาลพระนางเรือล่มขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่กู้พระศพของพระองค์ โดยศาลแห่งนี้เปิดให้ประชาชนได้เข้าไปกราบไหว้ได้ตลอดเวลา สิ่งที่นิยมนำมาถวายพระองค์ท่านก็คือ กล้วยเผา มาพร้าวอ่อน และพวงมาลัยมะลิสด
08
สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม
ร่องรอยแห่งความสูญเสียเมื่อธรรมชาติเอาคืน
เช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดแผ่นดินไหวใจกลางเกาะสุมาตรา ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ "สึนามิ" ไปยังพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย รวมไปถึงชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย รวม 13 ประเทศ กว่า 230,000 ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับคลื่นยักษ์ใจร้ายกวาดเอาแม้กระทั่งชีวิต ความสูญเสียจากธรรมชาติที่เคยให้คุณประโยชน์ ครั้งนี้ธรรมชาติสวมบทโหดเข้ามาโจมตีถาโถมโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ พัดพาความสุข ความรัก ครอบครัว ทรัพย์สิน บ้านเมืองสวยงามที่เคยมีลงคืนกลับไปในทะเลคลั่ง
พื้นที่ ที่เคยมีอาคารบ้านเรือนสวยงามกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย บางคนรอด บางครอบครัวเหลือเพียงแค่นามสกุล นักท่องเที่ยวจากอีกฝั่งโลกก็ต้องมาจบชีวิตที่นี่ ทรัพย์สินที่เคยลำบากยากเข็ญสร้างมาทั้งชีวิตหายไปชั่วพริบตา โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่คนไทยเคยพบเจอ ถูกแปรเปลี่ยนด้วยคำสั้นๆ “สูญเสีย”
พิกัดเกิดเหตุ
สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ม.2 บ้านน้ำเค็ม อำเภอบางม่วง ตำบลตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
เที่ยวตามรอยอดีต
ที่เคยเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่ถูกสึนามิกลืนกินไปจนหมดสิ้น วันนี้ผืนดินแห่งนี้กลายเป็น ”สวนอนุสรณ์สึนามิ” สถานที่ให้ระลึกถึงพลังธรรมชาติอันโหดร้าย มีรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งชาวบ้านและชาวต่างชาติสลักที่กำแพงตามทางเดิน เลียบเคียงชายหาด พร้อมทั้งเรือลำหนึ่งที่ถูกแรงของคลื่นยักษ์พัดขึ้นมาตั้งตระหง่านอยู่
8 สถานที่ท่องเที่ยวในประวัติศาสตร์ที่จารึกความโหดร้ายจากโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะเป็นความรัก การแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น การทารุณกรรม ความเศร้าจนควบคุมสติไม่อยู่ทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย ทำเรื่องที่ไม่มีวันเรียกคืนวันที่ดีกลับมาได้ คงไว้แค่ความทรงจำอันเลวร้าย ตั้งสติให้มั่น...ทำสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะเราเองคงไม่อยากเป็นหน้าประวัติศาสตร์แห่งโศกนาฏกรรมรายต่อไป PaiNaiDii หวังว่าเวลาจะละลายความทรงจำที่ฝังแน่นให้เจือจางลงได้บ้าง