ไม่ต้องไปไกลถึงภาคใต้ ก็เที่ยวเกาะได้ กับ one day trip เกาะลัดอีแท่น นครปฐม
อยากเที่ยวๆๆๆๆ อยู่เมืองกรุงเจอทั้งฝนตก รถติด ฝุ่นควัน แถมงานเยอะเข้าไปอี๊กกกกก ทางออกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นก็คือ...ออกไปเที่ยวจ้าาาา อิอิ ใจน่ะอยากวาร์ปลงใต้ไปชิลบรรยากาศทะเล๊ทะเล แต่ Money ในกระเป๋าไม่เอื้ออำนวย งั้นก็วาร์ปไปใกล้ๆ หลีกหนีจากความวุ่นวายและฝุ่นควัน พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ เกาะลัดอีแท่น ปอดธรรมชาติสีเขียวที่ใหญ่ใกล้เมืองกรุง กันดีกว่า
การเดินทางก็ง่ายมากๆ เราจะขึ้นรถโดยสารประจำทาง สาย 84 (ยูโร 2 สีส้ม) จากสถานี BTS วงเวียนใหญ่ จากนั้นก็นั่งกันไปชิลล์ๆ หลับไปสักตื่น รถจะมาจอดภายในวัดไร่ขิงเลย สะดวกสบายมากๆ ไม่ต้องนั่งรถหลายต่อ เริ่ด! #ฉันถูกใจสิ่งนี้
ตารางเส้นทางเดินรถของ สาย 84
นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทาง สาย 556 (ยูโร 2) ที่จะขับเข้าไปจอดภายในวัดเช่นกัน ขอขอบคุณรูปจาก เกาะลัดอีแท่น
"เกาะลัดอีแท่น" เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro tourism) ที่ผสมผสานกับวัฒนธรรม ตั้งอยู่ในตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน ภายในเกาะประกอบด้วย 3 ตำบล คือ ตำบลไร่ขิง ตำบลบางเตย และตำบลทรงคนอง ด้วยพิกัดใกล้แม่น้ำท่าจีน (แม่น้ำนครชัยศรี) ทำให้สภาพพื้นที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการทำสวนผลไม้และพืชไร่ผสมผสาน ไฮไลท์เด็ดขึ้นชื่อยกให้ ส้มโอ โดยเฉพาะ พันธุ์ทองดี และพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ที่ว่ากันว่าอร่อยสุดๆ มาเยือนที่นี่เมื่อไหร่ ต้องห้ามพลาด
เจอคณะนางรำ กำลังเตรียมตัวกันอยู่เลย โชคดีจัง
ในวันนี้จุด start ของเราจะเริ่มต้นกันที่ วัดไร่ขิง หรือ วัดมงคลจินดาราม วัดที่เก่าแก่ของอำเภอสามพราน เมื่อเข้ามาภายในวัดจะเห็นรถรางที่เราใช้นั่งชมเกาะลัดอีแท่นจอดอยู่ (แต่พี่คนขายตั๋วยังไม่มา) เราเลยจะไปทำบุญ และสักการะหลวงพ่อวัดไร่ขิง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางมารวิชัย ที่ตามตำนานเชื่อว่า ลอยน้ำมา ได้ถูกนำมาประดิษฐานไว้ขณะที่รอรถรางนำเที่ยวกันก่อน ซึ่งระหว่างทางที่เดินไปก็มีละครรำของคณะใบเตย แก้วตาแสดงอยู่พอดี เลยแวะถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย
เมื่อเดินมาได้ไม่นานเราจะเจอกับพระอุโบสถที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวที่ได้เข้ามากราบไหว้บูชา หลวงพ่อวัดไร่ขิง ไม่ว่าจะด้านนอกพระอุโบสถ หรือภายในพระอุโบสถ เรียกได้ว่าทุกคนที่มาล้วนแต่มีความศรัทธาในหลวงพ่อวัดไร่ขิงทั้งนั้น สาธุบุญจ้า
เสร็จจากทำบุญ อิ่มบุญกันเต็มที่แล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยกว่ารถรางจะมาถึง งั้นก็ขออิ่มท้องด้วยไอศกรีมกะทิจากร้านค้าสวัสดิการวัดไร่ขิงหน่อยละกัน กินให้พอหอมปากหอมคอ เติมความหวานให้ชีวิต (ช่วงนี้น้ำตาลยิ่งน้อยๆอยู่ 5555)
คนขายตั๋วมาถึงแล้ววววจ้า ! จุดขายจะตั้งเยื้องกับร้านค้าสวัสดิการวัดไร่ขิง ราคาจะอยู่ที่ 60 บาท และจะให้บริการเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะเริ่มขายตั๋วตอน 10 โมงเช้า พี่คนขายตั๋วคือตรงเวลามากๆ 10 โมงปุ๊บ พี่เขาเดินมาปั๊บ 5555 และยังไม่ทันได้เอาตั๋วออกมาวางบนโต๊ะ ก็มีคนเดินมายืนล้อมโต๊ะเพื่อซื้อตั๋วรถราง ทุกคนให้ความสนใจที่จะเที่ยวเกาะลัดอีแท่นกันเยอะมาก พี่เขาขายตั๋วแทบไม่ทัน เพราะฉะนั้นช่วยใจเย็นๆและรอกันหน่อยน้า
ได้ตั๋วมาแล้วก็เดินไปขึ้นรถรางกันเล้ยย ที่นี่มีรถรางทั้งหมด 2 คัน คันใหญ่จะรองรับคนได้ประมาณ 20-25 คน และคันเล็กรองรับคนได้ 17 คน รถรางคันแรกจะออกเวลา 10.30 (แต่ถ้าคนเต็มเร็ว รถก็จะออกก่อนเวลา) ในการนั่งรถรางชมรอบเกาะจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเราว่าจะใช้เวลากับแต่ละจุดที่แวะมากหรือน้อยเพียงใด
นี่ก็คือคุณลุงเปี๊ยกผู้ใจดีที่จะมาเป็นผู้ขับรถรางนำชมรอบเกาะ และบรรยายให้ความรู้ตลอดสองข้างทางของเกาะลัดอีแท่นในวันนี้
ที่หมายที่แรกของเราก็คือ "พิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตชุมชนคลองผีเสื้อ" เมื่อรถรางจอดสนิท ก็พร้อมลุยยยย!!!
มีป้ายแนะนำเล็กๆติดอยู่ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วย
บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
ภายในพิพิธภัณฑ์ มีของเก่าที่ถูกรวบรวมไว้ที่นี่เยอะมากกกกก
พิพิธภัณฑ์วิถีชีวิต ชุมชนคลองผีเสื้อ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราววันวานผ่านข้าวของเครื่องใช้ภายในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือการเกษตร และเครื่องใช้ในครัวเรือนที่เก่าแก่โบราณ แสดงให้เห็นถึงการดำรงชีวิตของผู้คนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง โดยจะมี ปู่พนม ศรีสนิท เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวและบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมา รวมไปถึงวิธีการใช้เครื่องมือการเกษตร แต่ละชิ้นดูน่าสนใจมาก เด็กๆก็ชอบเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แถมหาดูได้ยากแล้วในยุคนี้ นอกจากนี้ข้างๆพิพิธภัณฑ์ยังมีสวนส้มโอ ไว้ให้คนที่มาได้ลองนั่งเรือชมตามร่องสวน แต่น่าเสียดายที่ในวันที่ไปดันเกิดฝนตกนิดหน่อย และไม่ได้บอกล่วงหน้า ทำให้ปู่พนมเตรียมเรือไม่ทัน เลยอดเก็บบรรยากาศจากสวนส้มโอมาฝากกันเลย
ส่วนนี่คือร้านกาแฟใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ ถ้าใครร้อนๆอยากดื่มน้ำก็มาอุดหนุนกันได้น้า
ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราจะมาแวะกันที่ โฮมสเตย์บ้านสวนบางเตย ซึ่งเป็นจุดที่สอง ตัวอาคารหลักจะเป็นบ้านทรงไทยสองชั้น สวยมากกกกเธอ ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูดี หรูหราอ่ะ น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ที่แท้ทรู 555 ไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากมาย ก็สวยได้ในตัวของมันเอง อีกทั้งยังมีการนำเรือมารีโนเวทใหม่ให้เป็นบ้านพัก บรรยากาศโคตรชิล ลมพัดผ่านเย็นสบายเลยจ่ะ
ที่นี่นอกจากจะเป็นโฮมสเตย์แล้ว บริเวณด้านข้างของบ้านทรงไทย ยังเปิดเป็นร้านกาแฟตั้งอยู่บนแพริมแม่น้ำ ชื่อ Floating Space Café แบ่งออกเป็น 2 โซน โซนห้องแอร์ สำหรับใครที่หนีร้อน และโซนเอาท์ดอร์ สำหรับสายชิล ถ้าอยากรู้ว่าบรรยากาศมันดีขนาดไหนก็ตามไปดูกันเล้ยย
บรรยากาศภายในร้าน คือดีมาก แอร์เย็นสบาย เป็นร้านกาแฟเล็กๆ อบอุ่นสุดๆ
ส่วนนี่เป็นบรรยากาศด้านนอก นี่ถ้าเป็นช่วงเย็นนะ มันคงจะเป็นอะไรที่ฟีลกู้ดแน่นอน
นอกจากนี้ ฝั่งตรงข้ามร้านก็จะเป็นตลาดน้ำดอนหวาย นั่งจิบกาแฟ หรือเครื่องดื่มตามใจชอบริมแม่น้ำและมีวิวด้านหน้าเป็นตลาดน้ำดอนหวายก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะ
หลังจากนั้นเราจะมาต่อกันที่ วัดทรงคนอง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีพื้นที่กว้างขวาง และอยู่คู่กับชุมชนมานาน ปัจจุบันมีอายุกว่า 300 ปี (เก่าแก่มากกกกเวอร์) ที่นี่จะมีพระอุโบสถตั้งอยู่ตรงกลางและมีวิหาร 2 หลัง ตั้งอยู่ขนาบข้างทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา อีกทั้งยังมี เก๋งจีนโบราณ ที่คาดว่าน่าจะถูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งอยู่ภายในวัดอีกด้วย
นี่คือ ส้มโอ ของดีประจำเกาะลัดอีแท่น ที่ตั้งขายอยู่บริเวณลานวัด ซึ่งเป็นจุดที่รถรางมาจอดเทียบใกล้ๆพอดี เพราะงั้นหลังจากไหว้พระทำบุญ หากใครอยากซื้อไปลองชิมก็มาอุดหนุนได้ เพราะเป็นผลิตผลของชาวบ้านในชุมชนโดยตรง
อ๊ะๆๆ ! แต่ก่อนจะหิ้วถุงส้มโอเดินเล่นไปมาจนปวดมือนั้น ก็เข้าไปไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลกันก่อนดีกว่า โดยที่นี่จะมีพระอุโบสถและวิหาร 2 หลัง ซึ่งถ้าหากใครมีเวลาก็อยากให้เข้าไปไหว้ครบทั้ง 3 จุดเลยนะ จุดให้บริการดอกไม้จะตั้งอยู่ใกล้ๆร้านที่ขายส้มโอ ส่วนค่าดอกไม้ก็ใส่ลงในตู้รับบริจาคตามกำลังศรัทธาเลยจ่ะ
ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติ แบบ 360 องศา (งดงามมากๆ)
วิหารทางด้านซ้าย (เมื่อมองจากประตูทางเข้า)
วิหารทางด้านขวา (เมื่อมองจากประตูทางเข้า) - ภายในวิหารได้ประดิษฐานหลวงพ่อโป๋หลุย พระพุทธรูปหินทรายแดงศักดิ์สิทธิ์ของวัดทรงคนอง ที่สันนิษฐานว่าถูกสร้างในสมัยอยุธยา ซึ่งชาวบ้านที่นี่ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมาก
เก๋งจีนโบราณ ที่คาดว่าน่าจะถูกสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 (เก่าแก่มากๆเลย)
และจุดสุดท้ายที่เราจะทำการแวะก่อนจะจบทริปนี้ก็คือ คือ คืออออออ ... ศูนย์เรียนรู้ปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ นาข้าวไรซ์เบอร์รี่ ได้ยินชื่อครั้งแรกอาจจะคิดว่ามันมีอะไรน่าสนใจหรอ ก็เป็นแค่นาข้าวไม่ใช่หรือไง แต่ที่นี่จะมีความพิเศษกว่านาข้าวที่เราเห็นโดยทั่วไป เพราะเราจะได้เห็นและเรียนรู้การทำนาตามระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแน่นอนว่านาข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่เราเห็นอยู่นั้นปลอดสารพิษแน่นอนจ่ะ เริ่ดได้อีกกกก นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีการนำข้าวไรซ์เบอร์รี่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากข้าวให้เราได้อุดหนุนกันอีกด้วย
หลังจากที่เที่ยวรอบเกาะกันมาพอสมควรแล้ว ท้องก็เริ่มจะร้องแล้วสิ ที่นี่มีร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาตั้งอยู่ ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะว่า บริเวณที่เรานั่งรอก๋วยเตี๋ยว สามารถห้อยขาลงไปได้ ชิลมาก แกว่งขาไปมา สบายๆ ไม่ต้องกลัวเหน็บจะกิน 5555 ก๋วยเตี๋ยวที่นำมาเสิร์ฟจะถูกจัดใส่มาในชั้นปิ่นโต ฮือ น่ารักมากเลย ส่วนน้ำจะเป็นแบบบริการตัวเอง โดยทางร้านจะใช้ขันลูกเล็กๆไว้ใส่น้ำกิน น่ารักอีกแล้วจ่ะ
และตบท้ายด้วยน้ำแข็งไส ที่ราคาแค่ 20 บาท แต่ใส่เครื่องได้เยอะมาก ชอบ ถูกใจใช่เลย 555555
หลังจากอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปยังวัดไร่ขิง ก่อนจะถึงวัด จะมีขนส่งเล็กๆที่มีรถเมล์สาย 84,556 จอดอยู่เต็มเลย ใครที่ต้องการจะลงตรงนี้ก็สามารถบอกคุณลุงได้ เขาจะจอดให้ลง จะได้ไม่ต้องนั่งไปไกลเพื่อแย่งขึ้นรถกับคนในวัด ดีงาม เดินทางสะดวกสบาย สถานที่ก็น่าสนใจ ไม่มาไม่ได้แล้วป่ะ! #ของมันต้องมา